พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ของ สงครามดอกกุหลาบ

พระเจ้าริชาร์ดที่ 3

การฟื้นฟูพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ในปี ค.ศ. 1471 บางก็กันเห็นว่าเป็นการสิ้นสุดของสงครามดอกกุหลาบหลัก บ้านเมืองกลับมามีความสงบสุขขึ้นอีกครั้งจนตลอดรัชสมัยของพระองค์ ริชาร์ด ดยุกแห่งกลอสเตอร์พระอนุชาองค์สุดท้องผู้ใกล้ชิดและสนับสนุนพระองค์มาตลอดพระชนม์ชีพ และวิลเลียม เฮสติงส ต่างก็ได้รับพระราชทานรางวัลในความจงรักภักดี และได้รับตำแหน่งเป็นข้าหลวงแห่งภาคเหนือ และ ข้าหลวงแห่งมิดแลนด์ตามลำดับ[10] ดยุกแห่งแคลเรนซ์พระอนุชา ผู้ทรงเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์เพิ่มขึ้นทุกขณะก็ถูกประหารชีวิตในที่สุดในปี ค.ศ. 1478 ในการมีส่วนพัวพันกับผู้ทรยศต่อแผ่นดินผู้ถูกลงโทษไปแล้ว

แต่เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดมาเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันในปี ค.ศ. 1483 ความระส่ำระสายทางการเมืองก็อุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ขุนนางต่างก็ชิงชังกับอิทธิพลของพระญาติพระวงศ์ตระกูลวูดวิลล์ของพระนางเอลิซาเบธ (แอนโทนี วูดวิลล์ เอิร์ลแห่งริเวอร์สที่ 2 พระเชษฐาและพระโอรสจากการสมรสครั้งแรกทอมัส เกรย์ มาร์ควิสที่ 1 แห่งดอร์เซต) และมองเห็นว่าเป็นขุนนางใหม๋ผู้ทะเยอทะยานและกระหายอำนาจ เมื่อสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จสวรรคตพระราชโอรสผู้สืบราชบัลลังก์ต่อมาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ก็เพิ่งมีพระชนมายุเพียง 12 พรรษาผู้ที่ทรงได้รับการเลี้ยงดูภายใต้การนำของเอิร์ลแห่งริเวอร์สอยู่ที่ลัดโลว์

บนพระแท่นที่ประชวรพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงแต่งตั้งให้พระอนุชาริชาร์ด ดยุกแห่งกลอสเตอร์เป็น “ผู้อารักขาอังกฤษ” (Protector of England) ขณะนั้นริชาร์ดยังอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษเมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จสวรรคต วิลเลียม เฮสติงส์ บารอนเฮสติงส์ที่ 1 ก็รีบส่งข่าวไปให้ริชาร์ดลงมายังลอนดอนพร้อมกับกองทัพเพื่อที่จะมาปราบปรามฝ่ายวูดวิลล์ที่อาจจะลุกขึ้นมาต่อต้าน[11] เฮนรี สแตฟฟอร์ด ดยุกที่ 2 แห่งบักกิงแฮม ก็หันไปสนับสนุนริชาร์ด

“เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและริชาร์ดทั้งสองพระองค์ในหอคอยในปี ค.ศ. 1483” โดยจอห์น เอเวอเรทท์ มิเลย์ (ค.ศ. 1878)

ริชาร์ดและดยุกแห่งบักกิงแฮมเดินทางไปทันกับเอิร์ลแห่งริเวอร์สผู้กำลังนำพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 จากลัดโลว์ลงมายังกรุงลอนดอนที่สโตนีสแตรทฟอร์ดในมณฑลบักกิงแฮมเชอร์เมื่อวันที่ 28 เมษายน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะกินอาหารเย็นด้วยกันอย่างฉันท์มิตรแต่ในวันรุ่งขึ้นริชาร์ดและดยุกแห่งบักกิงแฮมก็จับเอิร์ลแห่งริเวอร์สเป็นนักโทษ และให้เหตุผลกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิดของตระกูลวูดวิลล์ในการพยายามที่จะปลงพระชนม์ เอิร์ลแห่งริเวอร์สและหลานริชาร์ด เกรย์ถูกส่งไปจำขังไว้ที่ปราสาทพอนทีแฟร็คในยอร์กเชอร์ก่อนที่จะถูกประหารชีวิตในปลายเดือนมิถุนายน

พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จเข้ากรุงลอนดอนภายใต้การอารักขาของริชาร์ดพระปิตุลาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมและถูกนำไปประทับอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอน ขณะที่พระนางเอลิซาเบธพระมารดาและพระราชโอรสธิดาองค์อื่น ๆ หนีไปหนีภัยอยู่ในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ก่อนหน้านั้นแล้ว แม้ว่าทางมหาวิหารจะอยู่ในระหว่างการเตรียมตัวที่จะทำพิธีราชาภิเษกขึ้นในวันที่ 22 มิถุนายน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นริชาร์ดก็หมดอำนาจและหน้าที่ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนริชาร์ดก็เรียกประชุมสภาองคมนตรี ในที่ประชุมริชาร์ดกล่าวหาว่าวิลเลียม เฮสติงส บารอนเฮสติงสที่ 1 และผู้อื่นว่าคบคิดกันเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง เฮสติงสถูกประหารชีวิตอย่างเร่งด่วนภายในวันเดียวกัน

จากนั้นทอมัส บูเชียร์ อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีก็หว่านล้อมให้พระนางเอลิซาเบธส่งริชาร์ดแห่งชรูว์สบรี ดยุกที่ 1 แห่งยอร์ก พระอนุชาองค์รองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ผู้มีพระชนมายุ 9 พรรษาไปประทับกับพระเชษฐาในหอคอยแห่งลอนดอน เมื่อได้พระโอรสมาสองพระองค์แล้วริชาร์ดก็กล่าวหาว่าการเสกสมรสระหว่างพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 และพระนางเอลิซาเบธเป็นการเสกสมรสที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้นพระราชโอรสทั้งสองพระองค์จึงเป็นลูกนอกคอกและไม่มีสิทธิในราชบัลลังก์ รัฐสภามีความเห็นพ้องและออก “พระราชบัญญัติว่าด้วยตำแหน่งอันถูกต้อง” (Titulus Regius) ที่ระบุให้ริชาร์ด ดยุกแห่งกลอสเตอร์เป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 พระโอรสสองพระองค์ของพระเชษฐาที่ถูกจำขังในหอคอยที่มารู้จักกันว่า “เจ้าชายในหอคอย” หายสาบสูญไป ซึ่งอาจจะทรงถูกฆาตกรรม แต่จะโดยผู้ใดหรือด้วยคำสั่งของผู้ใดก็ไม่เป็นที่ทราบ ซึ่งทำให้เกิดการสันนิษฐานกันไปต่าง ๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้

หลังจากที่ทรงได้รับการราชาภิเษกในพิธีอันใหญ่โตเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมแล้ว พระเจ้าริชาร์ดก็เสด็จประพาสมิดแลนด์สและทางตอนเหนือของอังกฤษ พระราชทานสิ่งของต่าง ๆ ให้แก่ผู้คนโดยทั่วไป และใบพระราชานุญาตต่าง ๆ รวมทั้งการแต่งตั้งพระราชโอรสขึ้นเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ด้วย


ใกล้เคียง

สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามเวียดนาม สงครามกลางเมืองอเมริกา สงครามแปซิฟิก สงครามเกาหลี สงครามอ่าว สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง สงครามครูเสด สงครามกัมพูชา–เวียดนาม